สรุปสาระสำคัญ
รายงานวิจัยเรื่อง “เด็กเอน: แนวทางการป้องกันอาชญากรรมในกลุ่มผู้หญิงที่ให้บริการเอนเตอร์เทน” มุ่งเน้นศึกษากลุ่มผู้หญิงที่ประกอบอาชีพเอนเตอร์เทนเนอร์ในพื้นที่กรุงเทพมหานคร โดยเน้นที่ผู้หญิงที่มีลักษณะงานบริการด้านความบันเทิง เช่น การนั่งดื่มกับลูกค้า ชงเหล้า พาเที่ยว หรือให้ความบันเทิงในร้านอาหารหรือสถานบันเทิง ผลการศึกษาเผยให้เห็นถึงปัญหาที่ซับซ้อน และผลกระทบที่ลึกซึ้งทางสังคม เศรษฐกิจ และกฎหมาย พร้อมกับเสนอแนวทางการป้องกันอาชญากรรมอย่างเป็นระบบ
การศึกษาครั้งนี้ใช้แนวทางการวิจัยเชิงคุณภาพ โดยเก็บข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่างจำนวน 7 คน ซึ่งล้วนเป็นผู้หญิงวัยทำงานที่มีอายุระหว่าง 22-30 ปี มีการศึกษาสูงถึงระดับปริญญาตรีเป็นส่วนใหญ่ และยังไม่มีงานประจำ กลุ่มตัวอย่างให้เหตุผลที่เข้าสู่อาชีพนี้ว่า “รายได้ไม่เพียงพอ” และ “ค่าตอบแทนสูง” เป็นแรงจูงใจหลัก ส่วนใหญ่รู้จักงานนี้ผ่านเพื่อนหรือโซเชียลมีเดีย และเริ่มจากการทดลองรับงานชั่วคราวก่อนตัดสินใจทำอย่างต่อเนื่อง
ในบริบทของประเทศไทย อาชีพ “เด็กเอน” ยังเป็นหัวข้อที่ละเอียดอ่อน และสังคมมักมองว่าเป็นงานที่ไม่เหมาะสม แม้ไม่มีบทบัญญัติทางกฎหมายโดยตรงที่ระบุว่าเป็นอาชีพผิดกฎหมาย แต่จากผลการศึกษาพบว่า ลักษณะงานนั้นเอื้อต่อการเข้าไปเกี่ยวข้องกับอาชญากรรมหลายประเภท เช่น การล่วงละเมิดทางเพศ การใช้ยาเสพติด หรือการค้าประเวณีโดยไม่สมัครใจ โดยเฉพาะเมื่อขาดระบบป้องกันและคุ้มครองที่ชัดเจน
เด็กเอนจำนวนมากต้องรับงานในสถานที่ที่ควบคุมไม่ได้ เช่น บ้านหรือคอนโดของลูกค้า ทำให้ความปลอดภัยของผู้ให้บริการตกอยู่ในความเสี่ยงอย่างสูง หลายรายเคยถูกคุกคามทางเพศ ถูกมอมเหล้า และบางรายอาจเผชิญกับการข่มขืนหรือความรุนแรงทางกายโดยไม่สามารถร้องขอความช่วยเหลือได้ทันเวลา
ด้านทฤษฎี งานวิจัยได้นำแนวคิดทางอาชญาวิทยาหลายสำนักมาใช้ในการวิเคราะห์ เช่น ทฤษฎีโครงสร้างทางสังคม (Social Structural Theories) ซึ่งชี้ให้เห็นว่าความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจเป็นปัจจัยที่ผลักดันให้ผู้หญิงเลือกอาชีพเสี่ยง ทฤษฎีความกดดัน (Strain Theory) ที่อธิบายความไม่พอใจในสภาพสังคม และการดิ้นรนหาวิธีรอดชีวิต หรือแม้แต่ทฤษฎีการเรียนรู้ทางสังคม (Differential Association) ที่เน้นผลของสิ่งแวดล้อมและกลุ่มเพื่อนในกระบวนการเข้าสู่อาชีพนี้
ยิ่งไปกว่านั้น ยังพบว่าแนวโน้มการขยายตัวของกลุ่มเด็กเอนมีลักษณะเป็นวงจรต่อเนื่อง บางคนเมื่อทำงานนานเข้า จะกลายเป็นผู้จัดหาหรือโมเดลลิงเสียเอง นำคนรุ่นใหม่เข้าสู่วงการด้วยแรงจูงใจเชิงเศรษฐกิจ ส่งผลให้เกิดการขยายตัวของเครือข่ายการจัดหา และขัดต่อหลักกฎหมายว่าด้วยการค้ามนุษย์ (พ.ร.บ. ป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ พ.ศ. 2551)
ผลกระทบที่ตามมาจากการประกอบอาชีพนี้ มีหลายด้าน ไม่เพียงแต่ความเสี่ยงทางกายและจิตใจของผู้หญิง แต่ยังส่งผลถึงครอบครัวของผู้ให้บริการ ครอบครัวของลูกค้า และสถาบันที่บุคคลเหล่านี้สังกัดอยู่ ทั้งในเชิงภาพลักษณ์และคุณค่า หน่วยงานต้นสังกัดอาจสูญเสียความน่าเชื่อถือหากพบว่าพนักงานหรือเจ้าหน้าที่เกี่ยวข้องกับงานลักษณะนี้
ในมุมของศาสนาและวัฒนธรรม สังคมไทยยังคงยึดถือหลักศีลธรรมอันดี และมองว่าอาชีพที่เกี่ยวข้องกับการสัมผัสร่างกาย การดื่มสุราหรือการให้บริการเชิงชู้สาว เป็นสิ่งที่ขัดต่อจารีต ทำให้ผู้หญิงที่เลือกอาชีพนี้ถูกตีตรา และยิ่งอยู่ในสภาวะที่เปราะบางยิ่งขึ้น
งานวิจัยยังชี้ให้เห็นถึงแนวทางเชิงนโยบายที่เป็นไปได้ในการป้องกันและลดความเสี่ยง เช่น การออกแบบระบบให้เด็กเอนสามารถลงทะเบียนเพื่อขอรับการคุ้มครองและบริการจากภาครัฐ เช่น การตรวจสุขภาพประจำ การให้คำปรึกษาทางจิตวิทยา และการเข้าร่วมฝึกอบรมทักษะเพื่อเปลี่ยนอาชีพ นอกจากนี้ ยังเสนอให้มีการพัฒนาแอปพลิเคชันเฉพาะที่ใช้ติดต่อเจ้าหน้าที่รัฐกรณีฉุกเฉิน หรือรับแจ้งเหตุเพื่อสร้างความปลอดภัยให้แก่ผู้ให้บริการ
อีกหนึ่งข้อเสนอคือการเสริมสร้างทักษะทางกฎหมายและสิทธิมนุษยชนให้แก่ผู้หญิงกลุ่มนี้ เพื่อให้พวกเธอสามารถต่อรอง และปฏิเสธงานที่มีความเสี่ยงสูงได้อย่างมีอำนาจ รวมถึงการให้ทุนการศึกษา ฝึกวิชาชีพ และจัดหางานที่เหมาะสมให้ผู้ที่ต้องการเลิกอาชีพนี้อย่างจริงจัง
ในเชิงเปรียบเทียบ งานวิจัยได้นำเสนอกรณีศึกษาในต่างประเทศ เช่น ประเทศญี่ปุ่น ซึ่งมีระบบดูแลผู้ให้บริการด้านบันเทิงในรูปแบบ “เกอิชา” อย่างเป็นระบบ โดยมีกฎระเบียบการฝึกอบรม และมีสถานะทางสังคมที่ได้รับการยอมรับ ซึ่งต่างจากกรณีของเด็กเอนในประเทศไทยที่อยู่ในสภาพไร้กฎหมายคุ้มครอง และถูกมองอย่างดูหมิ่น
ในด้านผลกระทบเชิงเศรษฐกิจ งานบริการที่เกี่ยวข้องกับเด็กเอนมีส่วนสัมพันธ์กับดัชนีภาพลักษณ์ของประเทศ เช่น Corruption Perception Index (CPI) เพราะสถานบันเทิงที่เกี่ยวข้องกับการทุจริต เจ้าหน้าที่รัฐเข้าไปเกี่ยวข้อง หรือการละเมิดสิทธิมนุษยชนจะส่งผลต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่างชาติ และเสถียรภาพทางเศรษฐกิจระยะยาว
บทบาทของหน่วยงานยุติธรรม เช่น ตำรวจ อัยการ ศาล หน่วยงานป้องกันการค้ามนุษย์ รวมถึงกระทรวงพัฒนาสังคมฯ ควรมีมากกว่าแค่การลงโทษผู้กระทำผิด แต่ต้องเป็นแนวร่วมในการพัฒนาโครงสร้างป้องกันเชิงระบบ เช่น การตรวจตราพื้นที่เสี่ยง (Hotspot) การพัฒนาระบบแจ้งเตือนอัตโนมัติ และการบูรณาการข้อมูลจากหน่วยงานต่าง ๆ
บทสรุปของงานวิจัยชี้ว่า แม้บางมุมของอาชีพเด็กเอนจะถูกเลือกด้วยความสมัครใจ แต่โครงสร้างทางสังคมที่ไม่เท่าเทียม โอกาสทางเศรษฐกิจที่จำกัด และการขาดระบบดูแลที่เหมาะสม ทำให้อาชีพนี้กลายเป็นแหล่งบ่มเพาะอาชญากรรมอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ดังนั้น การมองปัญหาเด็กเอนในฐานะ “กลุ่มเสี่ยง” แทนที่จะมองว่าเป็นผู้กระทำผิด จะช่วยให้สามารถวางนโยบายเชิงป้องกันที่ยั่งยืน และสร้างความยุติธรรมในสังคมได้จริง
ในระยะยาว การจัดการกับปัญหาอาชญากรรมในกลุ่มเด็กเอนต้องอาศัยความร่วมมือของหลายฝ่าย ตั้งแต่ภาครัฐ ภาคเอกชน สื่อมวลชน ไปจนถึงสังคมในวงกว้าง การลดอาชญากรรมในกลุ่มนี้ไม่สามารถทำได้ด้วยมาตรการบังคับใช้กฎหมายเพียงอย่างเดียว แต่ต้องอาศัยการสร้างโครงสร้างทางสังคมที่เท่าเทียม เปิดโอกาสให้ผู้หญิงมีทางเลือกที่ปลอดภัยและยั่งยืน โดยไม่ต้องแลกด้วยศักดิ์ศรีหรือสุขภาพจิตของตนเอง
กลุ่มเป้าหมายของโครงการ
ผู้หญิงวัยทำงานที่มีรายได้น้อยหรือขาดโอกาสทางเศรษฐกิจ ซึ่งประกอบอาชีพเป็นเด็กเอนในเขตกรุงเทพมหานคร
ความเกี่ยวโยงกับกระบวนการยุติธรรม
เกี่ยวข้องกับกระบวนการยุติธรรมในหลายด้าน ได้แก่ การป้องกันอาชญากรรม การบังคับใช้กฎหมายเกี่ยวกับการค้ามนุษย์ ยาเสพติด และการคุ้มครองผู้เสียหาย รวมถึงส่งเสริมบทบาทของรัฐในการจัดการกับปัญหาความเหลื่อมล้ำและสิทธิมนุษยชน
ผลลัพธ์ของโครงการ
ได้แนวทางป้องกันอาชญากรรมแบบบูรณาการ เสนอการพัฒนาแอปพลิเคชันเตือนภัย จัดทำระบบลงทะเบียนอาชีพอย่างถูกกฎหมาย ผลักดันนโยบายช่วยเหลือผู้หญิงที่ต้องการเลิกอาชีพ และยกระดับความเข้าใจในระดับสังคมเกี่ยวกับกลุ่มเปราะบาง
การตอบเป้าหมายตามแผนพัฒนา
- การเข้าถึงกระบวนการยุติธรรมอย่างรวดเร็ว ทั่วถึงและเท่าเทียม - โครงการนี้เน้นการป้องกันและแก้ไขปัญหาอาชญากรรมในกลุ่มเด็กเอนซึ่งเป็นกลุ่มเปราะบาง เพื่อให้พวกเขาได้รับความคุ้มครองและการเข้าถึงกระบวนการยุติธรรมอย่างเท่าเทียม และลดการตกเป็นเหยื่ออาชญากรรม
- การสร้างวัฒนธรรมเคารพกฎหมาย - รายงานเสนอให้มีการส่งเสริมความรู้ ความเข้าใจในเรื่องสิทธิและกฎหมายเพื่อป้องกันไม่ให้เด็กเอนตกเป็นเหยื่อหรือละเมิดกฎหมาย รวมถึงการสร้างความตระหนักรู้ในสังคม
- การยกระดับกลไกการทํางานเชิงเครือข่าย - โครงการเน้นการประสานงานและทำงานร่วมกันระหว่างหน่วยงานต่าง ๆ ทั้งภาครัฐและเอกชน เพื่อป้องกันอาชญากรรมในกลุ่มเด็กเอน
- การบริหารงานยุติธรรมตามหลักธรรมาภิบาล - รายงานมีการเสนอให้ภาครัฐจัดการดูแลและคุ้มครองกลุ่มเด็กเอนตามหลักความยุติธรรม และดำเนินมาตรการเชิงป้องกันอย่างมีประสิทธิภาพ โปร่งใส และตรวจสอบได้